AI ก่อให้เกิดการเทรดความถี่สูง (High Frequency Trading) ที่ใช้อัลกอริทึมซับซ้อนในการวิเคราะห์ตลาดแบบเรียลไทม์และทำคำสั่งซื้อขายภายในเสี้ยววินาที แม้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตลาด แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าอาจเพิ่มความผันผวนของตลาดในช่วงเศรษฐกิจตึงเครียด
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร วางแผนขยายเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีสัดส่วนถึง 30% ของ GDP ภายในปี 2030 โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของ Google มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36,000 ล้านบาท) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในชลบุรีและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์
นโยบาย Thailand 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา AI โดยเฉพาะในด้านการผลิตระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ไทยกำลังเร่งพัฒนาร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับเพื่อกำกับดูแล AI อย่างเป็นระบบ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการที่ใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ซึ่งมุ่งสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและการส่งเสริมนวัตกรรม
เดวิด บาร์เร็ตต์ ซีอีโอของ EBC Financial Group (UK) Ltd. กล่าวว่า “ภาคเทคโนโลยีกำลังเร่งแข่งขันในยุค AI ด้วยการลงทุนอย่างหนักในศูนย์ข้อมูล บุคลากร และเทคโนโลยีชิปขั้นสูง” พร้อมเน้นย้ำว่า AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้ในตลาดการเงิน แต่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการให้บริการลูกค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับเทคโนโลยีล่าสุด Grok AI กำลังปฏิวัติระบบวิเคราะห์ตลาดด้วยเทคนิค Deep Learning ขั้นสูงที่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ตรวจจับความผิดปกติ และพยากรณ์แนวโน้มได้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรม AI ในระดับภูมิภาค โดยทำงานร่วมกับ UNESCO เพื่อพัฒนาหลักจริยธรรมในการใช้ AI สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่รัฐบาลกำลังขออนุมัติกรอบการกำกับดูแล AI สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และความโปร่งใสของอัลกอริทึม เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI ในภาคการเงิน