เวทีอิมพีเรียล สปริงส์ ที่กว่างโจว รวมผู้นำโลกหารือความร่วมมือระหว่างชาติ

ศูนย์การประชุมนานาชาติอิมพีเรียล สปริงส์ ในนครกว่างโจว กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการพบปะระหว่างผู้นำระดับโลกกว่า 200 คน จาก 30 ประเทศทั่วโลก ในช่วงวันที่ 1-3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เมื่อการประชุมนานาชาติอิมพีเรียล สปริงส์ ครั้งที่ 9 ได้เปิดเวทีให้อดีตประมุขแห่งรัฐ ผู้นำรัฐบาล ผู้บริหารองค์กรระหว่างประเทศ นักวิชาการชั้นนำ และผู้บริหารธุรกิจระดับสูง ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาโลกในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

เวทีอิมพีเรียล สปริงส์ ที่กว่างโจว รวมผู้นำโลกหารือความร่วมมือระหว่างชาติ

การจัดงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนออสเตรเลีย-จีน สมาคมมิตรภาพประชาชนจีนกับต่างประเทศ รัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง และเวิลด์ ลีดเดอร์ชิป อัลไลแอนซ์ คลับ เดอ มาดริด ภายใต้แนวคิด “For Global Cooperation and Solidarity” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนเวทีโลก

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตลอดสามวันของการประชุมจึงมีกิจกรรมสำคัญถึง 10 รายการ ตั้งแต่พิธีเปิด-ปิด การประชุมปิดลับ การอภิปรายแบบเต็มคณะ ไปจนถึงการประชุมย่อยคู่ขนาน และงานเลี้ยงรับรอง “Guangzhou Night” ผู้เข้าร่วมได้ถกเถียงประเด็นร้อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านความมั่นคงในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การยกระดับธรรมาภิบาลโลกเพื่อสร้างเสถียรภาพ การทำความเข้าใจและความร่วมมือในโลกที่มีความหลากหลาย การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม AI กับความมั่นคงและธรรมาภิบาล การส่งมอบสินค้าสาธารณะระดับโลกในช่วงนับถอยหลังสู่ปี 2573 พลวัตการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้า

ในฐานะเจ้าภาพ หยาง เจิ้น รองประธานคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยในพิธีเปิดโดยเน้นย้ำว่าข้อริเริ่มสี่ด้านของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้แก่ ด้านการพัฒนาโลก ด้านความมั่นคงโลก ด้านอารยธรรมโลก และด้านธรรมาภิบาลโลก ได้นำเสนอภูมิปัญญาและแนวทางแก้ไขปัญหาในแบบจีนเพื่อรับมือกับความท้าทายของมวลมนุษยชาติ ท่านระบุว่าจีนไม่ได้เป็นเพียงผู้เสนอแนวคิดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการรับมือความเสี่ยงด้วยความเป็นเอกภาพ ส่งเสริมการพัฒนาผ่านการเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง สร้างแรงขับเคลื่อนความร่วมมือด้วยผลประโยชน์ร่วมกัน และมอบผลลัพธ์ที่ชัดเจนผ่านการปฏิบัติจริง

สอดคล้องกับวิสัยทัศน์นี้ ดร. เชา ชัก วิง ผู้ก่อตั้งการประชุมและประธานสมาคมมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนออสเตรเลีย-จีน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเวิลด์ ลีดเดอร์ชิป อัลไลแอนซ์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก และประธานร่วมระดับโลกของศูนย์นานาชาตินิซามิ กันจาวี ได้เสริมว่าการก่อตั้งเวทีนี้ตอบสนองความต้องการของยุคสมัยอย่างแท้จริง โดยท่านเชื่อมั่นว่ายิ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกันมากเท่าไร ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีความท้าทายมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น ท่านเน้นว่าการปฏิรูปธรรมาภิบาลโลกให้ดีขึ้น การปกป้องสันติภาพและการพัฒนาโลก ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เข้าร่วมทุกคนให้ความสนใจ และคาดหวังว่าจะมีการนำเสนอปรัชญาและวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ในเวทีนี้

เมื่อพูดถึงการปฏิรูปธรรมาภิบาลโลก วอลคาน บอสคีร์ ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยที่ 75 ได้เสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า ขณะที่สหประชาชาติใกล้จะครบรอบ 80 ปี ระบบระหว่างประเทศกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ องค์กรสหประชาชาติและสถาบันต่างๆ ที่ก่อตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังเผชิญความท้าทายใหม่ในศตวรรษที่ 21 จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการปฏิรูปและเสริมความแข็งแกร่ง ท่านยืนยันว่าไม่มีองค์กรใดมาแทนที่สหประชาชาติได้ และเราต้องส่งเสริมให้องค์กรนี้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

นอกเหนือจากการปฏิรูปสถาบันที่มีอยู่แล้ว ฮัน ซึงซู อดีตนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ยังเสนอแนวคิดเรื่องการก่อตั้งสถาบันใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายสมัยใหม่ ท่านแสดงความเห็นว่าตลอดประวัติศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าอย่างมหาศาล แต่ก็ก่อความปั่นป่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากการผูกขาดเทคโนโลยี ท่านจึงเสนอให้นำประสบการณ์ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศมาเป็นแนวทางในการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล AI ระหว่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยี AI จะปลอดภัย ควบคุมได้ และสร้างประโยชน์แก่โลก โดยไม่ถูกผูกขาดโดยประเทศหรือกลุ่มบุคคลไม่กี่ราย

ข้อเสนอเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบริบทโลกในปัจจุบันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ท่ามกลางคลื่นแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เร่งตัวอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลึกซึ้ง และความเสี่ยงด้านความมั่นคงทั้งแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ปัญหาต่างๆ เช่น การพัฒนาที่ไม่สมดุล ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ธรรมาภิบาล AI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โลกจำเป็นต้องประสานงานกันมากกว่าที่เคย

ด้วยเหตุนี้ บัน คีมูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ จึงให้ความเห็นว่าหัวข้อการประชุมเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะกระบวนการสร้างความเห็นพ้องร่วมกันผ่านความเข้าใจ การยอมรับความหลากหลาย และการเจรจา เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่ ลดความบาดหมาง และเสริมรากฐานความร่วมมือให้แข็งแกร่ง ท่านย้ำว่าเราต้องร่วมกันรักษาสันติภาพโลกและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ผลประโยชน์ตกทอดสู่คนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

แนวทางนี้สอดคล้องกับมุมมองของเอดัวร์โด เฟรย์ รุยซ์-ตักเล อดีตประธานาธิบดีชิลี ที่เน้นย้ำว่าในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกกำลังเผชิญความท้าทายใหม่ที่สำคัญยิ่ง ในขณะที่องค์กรระหว่างประเทศบางแห่งไม่สามารถทำงานตามขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องแก้ไข เพราะสถาบันเหล่านี้คือแพลตฟอร์มสำคัญยิ่งต่อความร่วมมือระดับโลก

การรวมตัวของผู้นำระดับโลกในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของการประชุมนานาชาติอิมพีเรียล สปริงส์ ซึ่งก่อตั้งในปี 2557 และจัดมาอย่างต่อเนื่องจนครบ 9 ครั้ง โดยได้รวบรวมบุคคลสำคัญทางการเมืองระดับโลกกว่า 200 ท่าน พร้อมผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้นำธุรกิจจากจีนและต่างประเทศรวมกว่า 600 คน เวทีนี้ได้เปิดพื้นที่ให้มีการอภิปรายอย่างลึกซึ้งในหัวข้อต่างๆ มาโดยตลอด ตั้งแต่การร่วมมือเพื่อสร้างอนาคตเดียวกัน พหุภาคีนิยมและการแลกเปลี่ยนที่เปิดกว้าง ความร่วมมือในยุคหลังการระบาด การเร่งปฏิรูปและเปิดประเทศ ธรรมาภิบาลโลกและข้อเสนอของจีน การสร้างเมืองที่ยั่งยืนภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ไปจนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-ออสเตรเลีย ซึ่งผลลัพธ์จากการหารือเหล่านี้ล้วนสร้างผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างกว้างขวางในเวทีโลก